อุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงไทย เผชิญลมต้าน?!! ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568
เผชิญลมต้าน: ภาพรวมผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ผสมผสานของกลุ่มอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงไทย
ไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เผยให้เห็นภาพความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมสื่อและความบันเทิงไทย บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ความไม่แน่นอนทางการเมือง และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ผลประกอบการออกมาผสมผสานกัน ในขณะที่รายได้จากโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์แบบดั้งเดิมยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง การปรับกลยุทธ์มุ่งสู่ธุรกิจดิจิทัล การจัดอีเวนต์ และการขยายตลาดสู่ต่างประเทศได้สร้างผู้ชนะและผู้แพ้ที่ชัดเจนขึ้นในภูมิทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้
การชะลอตัวของเศรษฐกิจในภาพรวม โดยคาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะเติบโตเพียง 1.3-1.5% ประกอบกับความตึงเครียดทางการค้าโลกและความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ได้ส่งผลให้แบรนด์ต่างๆ ต้องรัดเข็มขัดและลดงบประมาณการโฆษณาลง สิ่งนี้ส่งผลกระทบโดยตรงทำให้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์หดตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเส้นเลือดใหญ่ของบริษัทสื่อหลายแห่ง ในทางกลับกัน สื่อดิจิทัลและการตลาดโดยใช้อินฟลูเอนเซอร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลดีต่อบริษัทที่ปรับตัวเข้าสู่ความเป็นจริงของโลกดิจิทัลได้สำเร็จ
สรุปผลการดำเนินงานรายบริษัท (ไตรมาส 2/68 เทียบกับไตรมาส 2/67)
นี่คือบทสรุปผลการดำเนินงานของบริษัทสื่อและความบันเทิงที่สำคัญในไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา
กลุ่มผู้นำ: ปรับตัวและเติบโต
- The ONE Enterprise (ONEE): แม้ว่ากำไรสุทธิจะลดลง 28.42% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) มาอยู่ที่ 86.6 ล้านบาท แต่กลยุทธ์ของบริษัทแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่ชัดเจน รายได้รวมเติบโต 5.42% YoY โดยได้รับแรงหนุนหลักจากการเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 38.71% ของธุรกิจ “Idol Marketing” ซึ่งประกอบด้วยการบริหารศิลปิน คอนเสิร์ต และสินค้าลิขสิทธิ์ ธุรกิจส่วนนี้มีสัดส่วนรายได้มากกว่า 45% ของรายได้รวม สามารถชดเชยรายได้จากธุรกิจคอนเทนต์และโฆษณาแบบดั้งเดิมที่ลดลง 12.14% ได้เป็นอย่างดี ONEE ถือเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำเร็จในการใช้โมเดล “เศรษฐกิจเชิงประสบการณ์” (Experience Economy) โดยสร้างรายได้จากฐานแฟนคลับที่แข็งแกร่งของศิลปินในสังกัด
- Mono Next (MONO): MONO พลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างน่าทึ่ง โดยทำกำไรสุทธิ 16 ล้านบาท เทียบกับขาดทุน 17 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้รายได้รวมจะลดลง 19% แต่บริษัทกำลังเดิมพันครั้งใหญ่กับการปรับกลยุทธ์ โดยทุ่มลงทุนในแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง Monomax และคว้าสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษเป็นเวลา 6 ปี การเปิดตัวแพ็กเกจรับชมในราคาที่เข้าถึงง่ายเมื่อเร็วๆ นี้ ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างมาก ทำให้ MONO อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่จะสร้างการเติบโตจากตลาดการถ่ายทอดสดกีฬาที่มีมูลค่าสูง
- Nation Group (NATION): Nation ฟื้นตัวได้อย่างน่าประทับใจ โดยสามารถลดผลขาดทุนสุทธิลงได้ถึง 88% YoY จากขาดทุน 399.6 ล้านบาท เหลือขาดทุนเพียง 48.0 ล้านบาท ความสำเร็จนี้มาจากกลยุทธ์สองด้านคือการสร้างรายได้และการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด รายได้รวมเพิ่มขึ้น 6% โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของรายได้โฆษณา 9% ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากการมีตัวตนที่แข็งแกร่งในสื่อออนไลน์ ในขณะเดียวกัน บริษัทสามารถลดต้นทุนลงได้ 12% ผ่านการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร
กลุ่มเผชิญความท้าทาย: โมเดลธุรกิจดั้งเดิม
- BEC World (BEC): BEC ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากภาวะตกต่ำของเม็ดเงินโฆษณา รายได้หลักจากการโฆษณาลดลงถึง 20.4% YoY ฉุดให้รายได้จากการดำเนินงานรวมลดลง 7.1% ส่งผลให้กำไรสุทธิลดลงอย่างมากถึง 70.8% เหลือเพียง 20.9 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม ยังมีสัญญาณบวกที่สำคัญคือรายได้จากการจำหน่ายลิขสิทธิ์คอนเทนต์ในตลาดโลกและบริการอื่นๆ ที่เติบโตถึง 57.4% แสดงให้เห็นว่าความพยายามในการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจเริ่มเห็นผล
- RS Group (RS): บริษัทเผชิญกับไตรมาสที่ยากลำบาก โดยมีผลขาดทุนสุทธิ 229 ล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากจากขาดทุน 46.5 ล้านบาทในปีก่อน รายได้รวมลดลง 39.4% โมเดลธุรกิจ “Entertainmerce” ได้รับผลกระทบทั้งสองด้าน โดยธุรกิจคอมเมิร์ซมีรายได้ลดลง 35.7% จากกำลังซื้อที่อ่อนแอ ขณะที่ธุรกิจบันเทิงมีรายได้ลดลง 42.6% จากภาวะซบเซาของอุตสาหกรรมโฆษณา นอกจากนี้ บริษัทยังเผชิญแรงกดดันทางการเงินจากการไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขสัญญาเงินกู้ได้ และกำลังอยู่ในระหว่างการควบคุมต้นทุนและเจรจากับสถาบันการเงิน
- MCOT: สื่อของรัฐยังคงเผชิญความท้าทายจากการพึ่งพาสื่อดั้งเดิม รายได้รวมในไตรมาสนี้ลดลง 3% YoY โดยธุรกิจหลักอย่างโทรทัศน์และวิทยุมีรายได้ลดลง 13% และ 4% ตามลำดับ แม้ว่าจะสามารถลดผลขาดทุนสุทธิลงเล็กน้อย 6% เหลือ 63 ล้านบาท แต่บริษัทยังคงเผชิญกับโจทย์ใหญ่ในการฟื้นฟูธุรกิจเดิมที่มีอยู่
กลุ่มภาพรวมผสมผสาน: มีทั้งโอกาสและความท้าทาย
- Workpoint Entertainment (WORK): รายได้ของเวิร์คพอยท์ค่อนข้างคงที่ ลดลงเพียง 3% YoY มาอยู่ที่ 526.9 ล้านบาท แม้รายได้จากทีวีและอีเวนต์จะลดลง แต่ธุรกิจคอนเสิร์ตและละครเวทีกลับเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 12.7 ล้านบาทเป็น 42.0 ล้านบาท นอกจากนี้ การลงทุนในธุรกิจภาพยนตร์ยังประสบความสำเร็จจากเรื่อง “เดอะสโตน พระแท้ คนเก๊” ส่วนกำไรสุทธิลดลงเหลือ 20.7 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าใช้จ่ายพิเศษครั้งเดียวที่เกิดจากการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อประสิทธิภาพในระยะยาว
- Amarin Corporations (AMARIN): อมรินทร์มีรายได้รวมใกล้เคียงกับปีก่อน แต่ผลประกอบการพลิกจากกำไรเล็กน้อยในปีที่แล้วมาเป็นขาดทุนสุทธิ 44.8 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการลดลงของรายได้จากธุรกิจทีวีดิจิทัลถึง 8.17% แม้ว่าธุรกิจมีเดียและอีเวนต์จะเติบโต 16.35% แต่ต้นทุนที่สูงขึ้นจากการจัดคอนเสิร์ตและแฟนมีตติ้งได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร
- Major Cineplex Group (MAJOR): ยักษ์ใหญ่แห่งวงการโรงภาพยนตร์มีรายได้และกำไรลดลง 5% และ 46% ตามลำดับ ผลประกอบการได้รับผลกระทบโดยตรงจากโปรแกรมภาพยนตร์ในไตรมาส 2/68 ที่ไม่แข็งแกร่งเท่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีภาพยนตร์ไทยที่ทำรายได้สูง อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเสริมของบริษัท เช่น โบว์ลิ่ง คาราโอเกะ และการให้เช่าพื้นที่ ยังคงมีการเติบโตที่ดี
แนวโน้มสำคัญและทิศทางในอนาคต
ผลประกอบการในไตรมาส 2 ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญที่จะกำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมในอนาคต:
- การเติบโตของเศรษฐกิจเชิงประสบการณ์ (Experience Economy): บริษัทอย่าง ONEE และ Workpoint พิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างรายได้จากฐานแฟนคลับผ่านอีเวนต์สด คอนเสิร์ต และสินค้าลิขสิทธิ์ เป็นช่องทางรายได้ที่ทรงพลังและกำลังเติบโต โมเดล “Idol Marketing” นี้เป็นกลยุทธ์ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงและมีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของงบโฆษณาน้อยกว่า
- การกระจายความเสี่ยงสู่ธุรกิจดิจิทัลเป็นสิ่งจำเป็น: การลดลงของรายได้จากทีวีดั้งเดิมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ความอยู่รอดและการเติบโตขึ้นอยู่กับความสำเร็จในการกระจายความเสี่ยงสู่ดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นการขายคอนเทนต์ให้กับแพลตฟอร์มสตรีมมิ่งระดับโลก (BEC, ONEE) การสร้างบริการ OTT ของตนเอง (MONO) หรือการเจาะตลาดโฆษณาออนไลน์ (Nation)
- การบริหารจัดการต้นทุนเป็นสิ่งสำคัญ: ท่ามกลางแรงกดดันด้านรายได้ การควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวดได้กลายเป็นหัวใจของกลยุทธ์องค์กร เกือบทุกบริษัท รวมถึง WORK, RS, และ Nation ได้ดำเนินมาตรการต่างๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและรักษาเสถียรภาพของผลกำไร
- คอนเทนต์ยังคงเป็นหัวใจสำคัญ แต่ขอบเขตของคอนเทนต์ได้ขยายกว้างขึ้น: แม้ละครคุณภาพสูงจะยังคงเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าสำหรับการขายในตลาดต่างประเทศ แต่คำจำกัดความของคอนเทนต์พรีเมียมกำลังขยายตัว การเดิมพันครั้งใหญ่ของ MONO กับสิทธิ์ในการถ่ายทอดสดกีฬาอาจเป็นตัวเปลี่ยนเกม และสร้างพิมพ์เขียวใหม่สำหรับการเติบโตของบริการสตรีมมิ่งในตลาดไทย
สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดว่าจะยังคงเป็นช่วงเวลาที่ท้าทาย บริษัทที่จะประสบความสำเร็จคือบริษัทที่สามารถสร้างโมเดลรายได้ที่หลากหลาย ควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนำเสนอคอนเทนต์ที่น่าสนใจผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ตั้งแต่หน้าจอทีวี ไปจนถึงเวทีคอนเสิร์ตและบริการสตรีมมิ่งทั่วโลก
